เวลาเราจะทำบิ้วอินสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว หรือชั้นวางทีวี วัสดุที่ใช้ “ด้านใน” ถือว่าสำคัญไม่แพ้หน้าตาเลยครับ เพราะถ้าเลือกไม่ดี งานอาจบวม พัง หรือเสียหายจากความชื้นในเวลาไม่กี่ปี โดยหนึ่งในไม้ที่ช่างบิ้วอินนิยมใช้กันมากตอนนี้ ก็คือ “ไม้ HMR” หรือแผ่นไม้กันชื้น ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น อยู่ในบ้านเมืองไทยที่มีฝนตก อากาศชื้น ก็ไม่ต้องกังวลว่าเฟอร์นิเจอร์จะเสียหายง่ายเหมือนไม้ MDF หรือปาร์ติเกิลทั่วไป
แต่รู้ไหมครับว่าไม้ HMR เองก็มีหลายเกรด แต่ละเกรดก็มีคุณสมบัติต่างกัน บางแบบเหมาะกับห้องแห้ง บางแบบต้องใช้กับห้องที่มีความชื้นสูง แล้วแบบไหนล่ะที่เหมาะกับบ้านของคุณจริง ๆ ดังนั้นบทความนี้ SPSHOMEDESIGN จะพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักไม้ HMR แต่ละเกรด พร้อมเทคนิคเลือกให้เหมาะกับงบและการใช้งานแบบไม่ต้องเดา เพื่อให้งานบิ้วอินของคุณทั้งสวยและอยู่ได้นานจริงครับ
ไม้ HMR คืออะไร?
HMR ย่อมาจาก “High Moisture Resistance” หรือพูดง่าย ๆ คือ ไม้กันชื้นนั่นแหละครับ ลักษณะภายนอกจะมีสีเขียว เนื่องจากมีการเติมสารพิเศษในกระบวนการผลิตให้ทนความชื้นได้มากกว่าไม้ MDF หรือปาร์ติเกิลทั่วไปเยอะเลย ไม่ถึงกับเอาไปแช่น้ำได้ทั้งวันนะครับ แต่ถ้าโดนไอน้ำ ชื้น ๆ ตลอดเวลา ไม้ HMR จะทนกว่า บวมยากกว่า ใช้งานได้ในครัว ห้องน้ำ หรือบริเวณใกล้น้ำแบบสบายใจมากขึ้น
5 เหตุผลที่งานบิ้วอินควรเลือกใช้ “ ไม้ HMR ” ถ้าไม่อยากเจอปัญหาซ้ำซากในอนาคต
1. ทนชื้นได้ดีกว่าไม้ทั่วไป ไม่พองง่าย
ไม้ HMRถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับ “ความชื้น” โดยเฉพาะ ทั้งจากอากาศหรือไอน้ำ ด้วยโครงสร้างที่อัดแน่น และกาวสูตรพิเศษ ทำให้ไม่ดูดน้ำง่ายเหมือนไม้ MDF หรือปาร์ติเกิลบอร์ดทั่วไป เหมาะมากกับบ้านในเมืองไทย ที่อากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งในห้องที่ต้องเจอความชื้นบ่อย ๆ เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ หรือจุดใกล้ระเบียง ไม้HMR จะช่วยให้บิ้วอินไม่เสียหายง่ายในระยะยาว
2. ไม่บวม ไม่พังไว ยืดอายุเฟอร์นิเจอร์
บิ้วอินที่ติดกับผนังหรือพื้น ถ้าใช้ไม้ที่ไม่กันชื้น พอโดนไอน้ำบ่อย ๆ หรือมีน้ำรั่วซึมเล็กน้อย ไม้ก็จะเริ่มบวม พอง หรือแตกตามขอบ ทำให้งานเสียรูปทรงและต้องรื้อซ่อมใหม่ ซึ่งเปลืองทั้งเงินและเวลา แต่ไม้ HMR มีจุดแข็งตรงมันทนความชื้นได้ดีมาก บวมน้ำยาก ช่วยให้เฟอร์นิเจอร์อยู่ทรง สวยได้นาน ไม่ต้องซ่อมบ่อย ช่วยลดปัญหาปลวกขึ้นจากความชื้นสะสมได้อีกด้วย
3. ผิวเรียบ ทำสีสวย งานจบเนียน
ไม่ใช่แค่เรื่องทนชื้น ไม้HMR ยังมีผิวหน้าเรียบเนียน เหมาะกับการปิดผิวลามิเนต เมลามีน หรือแม้แต่พ่นสีโดยตรง สีจะติดดี ไม่เป็นคลื่น ไม่สะดุดตา ใครที่ชอบงานดีไซน์แนวโมเดิร์น เรียบหรู หรือมินิมอล จะยิ่งเห็นความต่าง เพราะเส้นสายของเฟอร์นิเจอร์จะคมชัดสวยขึ้น เหมือนได้งานระดับพรีเมียมในราคาที่คุ้มค่ากว่า
4. แข็งแรง ใช้งานจริงได้ทุกวัน
ไม้HMR โดยเฉพาะในเกรดกลางและเกรดพรีเมียม อย่าง V70 หรือ V313 มีความแน่นและแข็งแรงสูง รับน้ำหนักได้ดี ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางของที่ใส่ของหนัก ๆ หรือตู้ที่เปิด-ปิดบ่อย ๆ ก็ติดสกรูได้แน่น ไม่หลุด ไม่โยก
5. ประหยัดกว่าในระยะยาว
แม้ราคาต่อแผ่นของไม้ HMR อาจสูงกว่าไม้ทั่วไปเล็กน้อย แต่เมื่อนำมาใช้จริงแล้ว จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้มาก เพราะไม่ต้องคอยซ่อมหรือเปลี่ยนบิ้วอินที่พังจากความชื้นซ้ำ ๆ ดังนั้นลงทุนเพิ่มขึ้นนิดเดียว แต่ได้วัสดุที่ทนกว่า สวยกว่า และอายุการใช้งานยาวกว่า ไม่ต้องวุ่นวายแก้งานภายหลัง ถือว่าเป็นความคุ้มค่าที่หลายบ้านมองข้ามไม่ได้
เปรียบเทียบ ไม้ HMR ทั้ง 3 เกรด (V313, V70, MR1/N70) แบบเข้าใจง่าย
สำหรับใครที่กำลังจะทำเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน ไม่ว่าจะเป็นครัว ตู้เสื้อผ้า หรือผนังตกแต่งต่าง ๆ แล้วช่างบอกว่า “ใช้ไม้ HMR นะครับ” เชื่อว่าหลายคนอาจจะพยักหน้าตามแบบงง ๆ ว่า เอ๊ะ…แล้วมันคืออะไร? ต่างจาก MDF ไม้ปาร์ติเกิลยังไง? แล้วทำไมบางอันถูก บางอันแพง?
วันนี้ผมในฐานะคนทำงานบิ้วอินจริง ๆ อยากมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังแบบภาษาคนธรรมดาเข้าใจง่ายว่า “ไม้ HMR” ที่ว่านี้มันแบ่งออกเป็น 3 เกรดหลัก ๆ และแต่ละเกรดเหมาะกับงานแบบไหนบ้าง รวมถึงราคาประมาณคร่าว ๆ ที่ใช้ในการประเมินงบเวลาเราจะทำบ้านครับ
1. MR1 / N70 – เกรดเริ่มต้น ราคาประหยัด
-
ข้อดี: เป็นไม้กันชื้นที่ราคาถูกที่สุดในกลุ่ม HMR ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปได้ดี เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ ตู้โชว์ในห้องนั่งเล่น เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่เจอกับความชื้นโดยตรง
-
ข้อควรระวัง: ไม่ควรเอาไปทำตู้ใต้อ่างล้างจาน หรือในห้องน้ำ เพราะถ้าโดนน้ำแบบตรง ๆ หรือโดนบ่อย ๆ มีโอกาสบวมได้
-
ราคาโดยประมาณ: แผ่น 4×8 ฟุต หนา 15 มม. ราคาจะอยู่ราว ๆ 400–500 บาท/แผ่น
-
เหมาะกับใคร: เจ้าของบ้านที่ต้องการงานบิ้วอินราคาไม่แรง อยู่ในโซนแห้ง ๆ ทั่วไป
2. V70 – เกรดกลาง ทนชื้นได้มากขึ้น
-
ข้อดี: โครงสร้างไม้แน่นกว่า MR1 ใช้ในพื้นที่ที่อาจมีความชื้นบ้าง เช่น ห้องครัวที่ไม่โดนน้ำตรง ๆ หรือห้องน้ำโซนแห้ง ใช้ทำบานตู้ ครัว โต๊ะเครื่องแป้ง ผนังตกแต่งต่าง ๆ ได้ดี
-
ข้อควรระวัง: ยังไม่เหมาะกับจุดที่โดนน้ำตรง ๆ หรือแช่น้ำนะครับ ถ้าจะเอาไปทำตู้ครัวที่ติดกับอ่างล้าง ควรใช้เกรดสูงกว่านี้
-
ราคาโดยประมาณ: แผ่น 4×8 ฟุต หนา 15 มม. อยู่ประมาณ 500–600 บาท/แผ่น
-
เหมาะกับใคร: บ้านที่มีงบเพิ่มขึ้นมาหน่อย อยากได้ไม้ที่ทนชื้นขึ้น ใช้งานได้หลากหลายมากกว่า MR1
3. V313 – เกรดพรีเมียม ทนชื้นดีที่สุด
-
ข้อดี: เป็นไม้ที่ทนความชื้นสูงสุดในกลุ่มนี้ครับ ผ่านการทดสอบแช่น้ำ-อบร้อนแบบจริงจัง ใช้กาวชนิดพิเศษ ผิวเนียน แน่น หนัก และแข็งแรงสุด ๆ ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ในครัวได้เต็มระบบ เช่น ตู้ใต้อ่าง เคาน์เตอร์เปียก ชั้นวางในห้องน้ำโซนเปียก
-
ข้อควรระวัง: ราคาสูงกว่าทุกตัว น้ำหนักมาก ตัดไม้ค่อนข้างแข็ง ต้องใช้ใบเลื่อยดี ๆ เครื่องมือดี ๆ หน่อย
-
ราคาโดยประมาณ: แผ่น 4×8 ฟุต หนา 15 มม. อยู่ราว ๆ 600–700+ บาท/แผ่น (ถ้าหนากว่านี้จะสูงขึ้นอีก)
-
เหมาะกับใคร: บ้านที่อยากได้งานเฟอร์นิเจอร์ทนมือ ทนน้ำ ระยะยาว โดยเฉพาะงานครัว งานห้องน้ำ หรือโปรเจกต์ที่ต้องการคุณภาพระดับสูง เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ฯลฯ
เลือก ไม้ HMR ยังไงให้เหมาะกับบ้านเรา?
เกรด | ทนชื้น | ความแน่น | เหมาะกับงาน | ราคาโดยประมาณ |
---|---|---|---|---|
MR1/N70 | ●●○ | ●○○ | ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางทั่วไป | 400–500 บาท |
V70 | ●●● | ●●○ | เคาน์เตอร์ทั่วไป โซนแห้ง | 500–600 บาท |
V313 | ●●●● | ●●●● | ครัว ห้องน้ำ โซนชื้น | 600–700+ บาท |
คำแนะนำส่วนตัว : ถ้างานคุณอยู่ในครัว ใกล้ซิงค์ หรือโซนที่มีโอกาสเปียก อย่าประหยัดครับ ไป V313 ดีกว่า ใช้งานยาว ๆ สบายใจ ส่วนถ้าเป็นตู้ในห้องทั่วไป V70 ก็พอไหว ประหยัดได้ แต่ถ้าแค่งานทั่วไป ไม่ใกล้น้ำเลย แล้วงบจำกัด MR1 ก็ถือว่าเพียงพอครับ