หลายคนพอสร้างบ้านหรือรีโนเวทเสร็จ ก็มักเจอคำถามเดียวกันว่า “ควรทำบิ้วอินดีไหม?” เพราะได้ยินมาว่ามันช่วยให้บ้านดูหรู ดูเรียบร้อย และใช้พื้นที่ได้คุ้มสุดๆ แต่ก็ยังแอบกังวลว่าจะเปลืองงบเยอะ แถมไม่รู้ว่าต้องวางแผนยังไงหรือมีขั้นตอนอะไรบ้าง โดยบทความนี้ SPSHOMEDESIGN เลยจะมาเป็น คู่มือบิ้วอินบ้านสำหรับมือใหม่ ที่จะพาเพื่อนๆ ไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานว่า บิ้วอินคืออะไร ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวยังไง, ต้องวางแผนยังไงให้ไม่บานปลาย, ไปจนถึงข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม อ่านจบแล้วบอกเลยว่า เพื่อนๆ จะมีภาพชัดขึ้นว่าควรเริ่มต้นยังไง และจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นบ้านที่ทั้งสวย ฟังก์ชันครบ และคุ้มค่าในระยะยาวแน่นอนครับ ✨
บิ้วอินบ้าน คืออะไร ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวยังไง?

การ บิ้วอินบ้าน จริงๆ ก็คือการทำเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาให้ติดเข้ากับโครงสร้างบ้านไปเลย ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว หรือผนังทีวี ทุกอย่างถูกวัดขนาดและทำพอดีกับพื้นที่เป๊ะๆ จนเหมือนเกิดมาเพื่อบ้านหลังนั้นโดยเฉพาะ ต่างจาก เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว อย่างตู้ โต๊ะ หรือชั้นวางสำเร็จรูปที่เราสามารถยกย้ายไปมาได้ เวลาวางแล้วมักจะมีช่องว่างเหลือ หรือบางทีดีไซน์ไม่เข้ากับบ้านซะทีเดียว ซึ่งข้อดีของงานบิ้วอินคือช่วยให้บ้านดูเรียบร้อย สวยต่อเนื่อง และใช้พื้นที่ได้คุ้มสุดๆ โดยเฉพาะบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด การบิ้วอินบ้านจึงกลายเป็นคำตอบยอดฮิตของคนที่อยากให้บ้านดูหรูหราและเป็นระเบียบไปพร้อมกัน
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเพื่อนๆ อยากได้บ้านที่ออกแบบมา “เฉพาะตัว” ใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วอย่างมีค่า และดูเหมือนบ้านในนิตยสาร การทำ เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินบ้าน จะตอบโจทย์มากกว่าเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวแน่นอนครับ 🏡✨
ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเลือก บิ้วอินบ้าน ?

ลองนึกภาพเวลาบ้านเสร็จใหม่ๆ แล้วเราอยากจัดบ้านให้ออกมาสวย ฟังก์ชันครบ แต่พอซื้อ เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว มาลองวางจริงๆ มันมักจะไม่พอดีเท่าไหร่ บางทีก็มีช่องว่างเหลือๆ ดูไม่เนี๊ยบ หรือดีไซน์ก็ไม่เข้ากับสไตล์บ้านทั้งหมด ตรงนี้แหละที่ทำให้หลายคนหันมาเลือก บิ้วอินบ้าน เพราะมันเหมือนการสั่งตัดเสื้อผ้าที่ออกแบบพอดีกับตัวเราเป๊ะๆ
สาเหตุหลักที่คนส่วนใหญ่เลือกบิ้วอินก็เพราะ อยากใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าและเป็นระเบียบที่สุด ไม่ว่าบ้านจะเล็กหรือใหญ่ การทำตู้หรือชั้นวางแบบบิ้วอินจะช่วยจัดเก็บของได้เยอะขึ้นโดยไม่เสียพื้นที่เปล่า ที่สำคัญคือความสวยต่อเนื่อง ดูกลมกลืนกับสไตล์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์น มินิมอล หรือคลาสสิค งานบิ้วอินสามารถทำให้บ้านทั้งหลังดู “จบในธีมเดียวกัน” ได้เลย
อีกอย่างคือเรื่องความคงทนและมูลค่าในอนาคตครับ เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินมักใช้วัสดุที่แข็งแรง อยู่ได้นาน และทำให้บ้านดูหรูขึ้น พอถึงเวลาขายหรือปล่อยเช่า บ้านที่มีงานบิ้วอินก็จะดูมีคุณค่ามากกว่าบ้านที่ใช้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวธรรมดาๆ เพราะมันสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็นนั่นเอง
รวม 6 ขั้นตอนวางแผน บิ้วอินบ้าน สำหรับมือใหม่
1. กำหนดสไตล์ที่ชอบก่อน
ลองหาภาพตัวอย่างหรือไอเดียจาก Pinterest, Instagram หรือเว็บตกแต่งบ้าน ว่าชอบแนวไหน เช่น โมเดิร์น มินิมอล คลาสสิค หรือ Luxury เพื่อใช้เป็นทิศทางให้ดีไซน์ออกมาตรงใจ
2. วัดพื้นที่จริงให้ละเอียด
การบิ้วอินต่างจากเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวตรงที่ต้องทำพอดีกับขนาดบ้าน ดังนั้นต้องวัดพื้นที่ ความสูงผนัง จุดปลั๊กไฟ–ปลั๊กน้ำ ให้ครบ เพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อนเวลาผลิตจริง
3. กำหนดงบประมาณที่ไหว
ควรตั้งงบเผื่อไว้เล็กน้อย เพราะงานบิ้วอินมักมีรายละเอียดเสริม เช่น วัสดุพิเศษ หรือระบบไฟซ่อน การรู้ตัวเลขคร่าวๆ จะช่วยให้วางแผนได้ง่ายและไม่บานปลาย
4. เลือกวัสดุที่เหมาะสม
เช่น ครัวควรใช้วัสดุทนความชื้น ห้องนอนอาจเลือกวัสดุอบอุ่นดูนุ่มนวล การเลือกวัสดุให้ตรงกับการใช้งานจริงจะช่วยยืดอายุและทำให้บ้านสวยนาน
5. ทำแบบ 3D หรือ Moodboard
ก่อนเริ่มทำจริง ควรขอแบบภาพ 3D หรืออย่างน้อย Moodboard เพื่อเห็นภาพรวม ว่าออกมาตามสไตล์ที่ชอบหรือไม่ และช่วยลดปัญหาการแก้ไขหน้างาน
6.เลือกช่างหรือบริษัทที่ไว้ใจได้
ดูผลงานเก่า รีวิว และสอบถามสัญญาให้ชัดเจน เช่น ระยะเวลา วัสดุที่ใช้ และการรับประกัน งานบิ้วอินเป็นงานที่ติดกับบ้านถาวร จึงควรเลือกทีมที่มีประสบการณ์จริง
บทความน่าสนใจเพิ่มเติม :
รีวิวผลงานบิ้วอินบ้าน สไตล์โมเดิร์น มินิมอล สวยหรูในงบหลักแสน !!
ข้อดี–ข้อเสียของงานบิ้วอิน ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

l ข้อดี บิ้วอินบ้าน
-
ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า – งานบิ้วอินออกแบบพอดีกับมุมบ้าน ทำให้ทุกตารางนิ้วถูกใช้งานจริง ไม่มีช่องว่างเหลือเหมือนเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว
-
ดีไซน์กลมกลืน สวยเนี๊ยบ – สามารถเลือกวัสดุ สี และสไตล์ให้เข้ากับบ้านทั้งหลังได้เลย ครัว ห้องนอน หรือห้องนั่งเล่นก็ออกมาเป็นธีมเดียวกัน
-
เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน – ออกแบบได้ตามใจ เช่น เพิ่มลิ้นชัก ซ่อนปลั๊กไฟ หรือบานปิดเก็บของรกๆ ทำให้ใช้งานสะดวกและตรงกับไลฟ์สไตล์
-
ความแข็งแรงและทนทาน – ติดตั้งกับโครงสร้างบ้านโดยตรง รับน้ำหนักได้ดี ใช้วัสดุเกรดสูงกว่าชั้นลอยทั่วไป อยู่ได้นานหลายปี
-
เพิ่มมูลค่าให้บ้าน – บ้านที่มีงานบิ้วอินสวยและครบ มักดูน่าอยู่และขายต่อได้ง่ายกว่าบ้านที่โล่งเปล่า
l ข้อเสีย บิ้วอินบ้าน
-
เคลื่อนย้ายไม่ได้ – พอติดตั้งแล้วคือถาวร หากย้ายบ้านหรืออยากเปลี่ยนเลย์เอาต์ก็ทำได้ยาก ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่ยกย้ายได้สบาย
-
งบประมาณค่อนข้างสูง – เพราะเป็นงานสั่งทำเฉพาะพื้นที่ ใช้วัสดุและแรงงานฝีมือ ราคาจึงสูงกว่าซื้อของสำเร็จรูป
-
ใช้เวลาในการทำ – ต้องมีการออกแบบ วัดพื้นที่ ผลิต และติดตั้ง ทำให้กินเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับขนาดงาน
-
แก้ไขยากหากไม่ถูกใจ – ถ้าทำไปแล้วไม่ชอบสไตล์หรือฟังก์ชัน การแก้ไขจะยากและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
-
ต้องเลือกช่างหรือบริษัทที่เชื่อถือได้ – ถ้าเลือกทีมไม่ดี งานอาจออกมาไม่ตรงแบบ วัสดุไม่ทนทาน หรือเจอปัญหาซ่อนเร้นภายหลัง
งบประมาณบิ้วอินบ้าน ควรเตรียมเท่าไหร่ถึงจะพอ?

💰 งบประมาณ บิ้วอินบ้าน โดยทั่วไป
-
งานเล็ก ๆ / คอนโดขนาดกะทัดรัด (เช่น ทำตู้เสื้อผ้า + เคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ)
👉 งบประมาณเริ่มต้นประมาณ 150,000 – 300,000 บาท -
งานระดับบ้านทั้งหลัง (2–3 ห้องหลัก) เช่น ห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น
👉 งบประมาณประมาณ 400,000 – 800,000 บาท -
งานใหญ่ / บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ / บ้านหรู ที่เน้นวัสดุพรีเมียม ดีไซน์เฉพาะตัว และบิ้วอินครบทุกห้อง
👉 งบประมาณอาจสูงกว่า 1,000,000 บาทขึ้นไป
📌 ปัจจัยที่มีผลต่อราคา
-
ขนาดพื้นที่ – พื้นที่ยิ่งเยอะ งานยิ่งมาก งบก็สูงตาม
-
วัสดุที่เลือก – ไม้จริง หินสังเคราะห์ หินอ่อน หรือวัสดุพรีเมียมราคาจะสูงกว่าลามิเนตทั่วไป
-
ดีไซน์และฟังก์ชัน – งานดีไซน์ซับซ้อน มีไฟซ่อน หรือระบบเก็บของพิเศษ ราคาจะบวกเพิ่ม
-
จำนวนห้องที่ทำ – ยิ่งทำหลายห้อง งบก็ยิ่งขยาย
-
ทีมช่างหรือบริษัทที่เลือก – บริษัทมืออาชีพที่รับประกันผลงาน อาจมีราคาสูงกว่า แต่มั่นใจเรื่องคุณภาพและบริการหลังการขาย
🔍 วิธีเลือกช่างหรือบริษัทบิ้วอินให้ไม่พลาด
1. ดูผลงานเก่าและรีวิวจริง
ก่อนตัดสินใจ ลองขอดู Portfolio งานเก่าๆ ว่าเคยทำบ้านหรือคอนโดสไตล์ใกล้เคียงกับที่เราต้องการไหม รวมถึงรีวิวจากลูกค้าเก่า ถ้าเห็นผลงานจริงหรือได้ไปดูหน้างานยิ่งมั่นใจได้มาก
2. เช็กความน่าเชื่อถือของบริษัท
บริษัทที่มีหน้าร้านหรือมีเพจ/เว็บไซต์ชัดเจน จะทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ทิ้งงานง่ายๆ ดูประวัติการทำงาน ระยะเวลาที่เปิดบริการ และผลงานที่ผ่านมา ว่าอยู่ในวงการมานานแค่ไหน
3. ขอใบเสนอราคาที่ละเอียด
อย่าดูแค่ราคากลางๆ แต่ควรมีรายละเอียด เช่น ใช้วัสดุอะไร แบรนด์ไหน ความหนาเท่าไร อุปกรณ์บานพับ/รางเลื่อนเป็นของเกรดไหน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เปรียบเทียบเจ้าอื่นได้ชัดขึ้น
4. ทำสัญญาที่รัดกุม ก่อน บิ้วอินบ้าน
ระบุให้ชัดเจนเรื่องระยะเวลาเริ่มงาน–ส่งมอบงาน งวดการชำระเงิน วัสดุที่ใช้ และการรับประกันหลังงานเสร็จ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
5. ประเมินการสื่อสาร
เวลาเราคุยกับช่างหรือบริษัท ถ้าอธิบายรายละเอียดชัด ตอบคำถามเร็ว และเข้าใจสิ่งที่เราต้องการ แสดงว่าการทำงานหน้างานจะราบรื่นและลดความผิดพลาดได้เยอะ
⚠️ ข้อควรระวังและปัญหาที่มักเจอจากงานบิ้วอิน
1. งบประมาณบานปลาย
หลายคนเริ่มต้นด้วยงบที่ตั้งใจไว้ แต่พอทำจริงกลับเจอค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น อัปเกรดวัสดุ เพิ่มงานไฟ หรือแก้แบบ ทำให้สุดท้ายงบสูงกว่าที่คิดไว้มาก ควรเผื่อไว้ประมาณ 10–20% ของงบจริงเสมอ
2. วัสดุไม่ตรงปก
บางครั้งช่างหรือบริษัทเสนอวัสดุเกรดหนึ่ง แต่ตอนทำจริงกลับใช้เกรดต่ำกว่า ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง หรือดูไม่หรูหราเหมือนแบบ ดังนั้นควรตรวจสอบใบเสนอราคาและของจริงก่อนติดตั้งทุกครั้ง
3. งานเสร็จล่าช้า
ปัญหาคลาสสิกเลยครับ บางทีช่างติดงานอื่น วัสดุมาไม่ทัน หรือเจอปัญหาหน้างาน ทำให้งานเสร็จไม่ตรงตามกำหนด วิธีป้องกันคือทำสัญญาระบุเวลาให้ชัด และมีเงื่อนไขหากงานล่าช้า
4. ดีไซน์ไม่ตรงใจ
มือใหม่หลายคนเจอปัญหานี้ พอทำจริงแล้วรู้สึกว่าแบบไม่สวยหรือใช้งานไม่ถนัด เพราะตอนแรกไม่ได้เห็นภาพรวม ดังนั้นควรทำแบบ 3D หรืออย่างน้อย Moodboard ก่อนเริ่มงานจริงเสมอ
5. การใช้งานระยะยาว
ถ้าออกแบบโดยไม่คิดถึงอนาคต เช่น ทำตู้เก็บของเล็กเกินไป ไม่เว้นช่องสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อาจซื้อเพิ่มในอนาคต จะทำให้ใช้งานไม่สะดวก ควรเผื่อพื้นที่และฟังก์ชันไว้ล่วงหน้า
🏡 สรุป: มือใหม่ควรเริ่มต้น บิ้วอินบ้าน ยังไงให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มคิดจะบิ้วอินบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ วางแผนให้รอบคอบตั้งแต่ต้น เริ่มจากหาสไตล์ที่ชอบและดูไอเดียตัวอย่าง เพื่อให้ชัดเจนว่าบ้านอยากออกมาแนวไหน ต่อมาคือ วัดพื้นที่และกำหนดงบประมาณ ให้เหมาะสม อย่าลืมเผื่อค่าใช้จ่ายส่วนเกินไว้สัก 10–20% เพราะงานจริงมักมีรายละเอียดที่เพิ่มเข้ามาเสมอ หลังจากนั้นให้ เลือกวัสดุและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ไม่ใช่เลือกแค่ความสวยอย่างเดียว เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกในระยะยาว
อีกขั้นตอนที่มือใหม่ห้ามพลาดคือการ ทำแบบ 3D หรือแบบร่าง เพื่อให้เห็นภาพรวมก่อนเริ่มลงมือจริง จะได้ไม่เจอความผิดพลาดทีหลัง สุดท้ายคือ เลือกทีมช่างหรือบริษัทที่ไว้ใจได้ ดูจากผลงานเก่า รีวิวลูกค้า และทำสัญญาให้ชัดเจน ทั้งเรื่องวัสดุ เวลา และการรับประกัน ถ้าทำตามขั้นตอนเหล่านี้ มือใหม่ก็จะได้งานบิ้วอินที่ทั้งสวย เนี๊ยบ ใช้งานง่าย และคุ้มค่าในระยะยาวครับ ✨




