10 ไอเดีย ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สวยๆ สไตล์มินิมอลมินิใจ !!

10 ไอเดีย ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สวยๆ สไตล์มินิมอลมินิใจ !!

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน กลายเป็นอีกหนึ่งไอเทมหลักของบ้านยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความเป็นระเบียบและความสวยงาม โดยเฉพาะเมื่อมาในลุค มินิมอล ที่เรียบง่ายแต่ดูดีแบบมีสไตล์ แถมยังช่วยจัดการพื้นที่ให้ลงตัวแบบไม่เปลืองเนื้อที่ วันนี้ทาง SPSHOMEDESIGN จึงได้รวบรวม 10 ไอเดียตู้เสื้อผ้าบิ้วอินสวยๆ สไตล์มินิมอลมินิใจ มาให้เพื่อนๆ ได้เก็บเป็นแรงบันดาลใจ บอกเลยว่าแต่งตามได้ง่าย แถมเรียบแต่ปังสุดๆ 👚✨


10 ไอเดีย ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สไตล์มินิมอลสวยๆ

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สไตล์มินิมอล

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สไตล์มินิมอล

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สไตล์มินิมอล

บทความน่าสนใจ :

8 HOW TO บิ้วอินบ้าน ให้สวยปัง ใช้พื้นที่คุ้มทุกตารางเมตร!


ข้อดีของ ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน มีอะไรบ้าง ?

1. ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าแบบไม่มีเหลือ

หนึ่งในข้อดีที่โดดเด่นของตู้เสื้อผ้าบิ้วอินคือ “การใช้พื้นที่แบบเต็ม 100%” เพราะตู้จะถูกออกแบบให้พอดีกับขนาดผนังหรือมุมที่เรามีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เล็ก มุมแคบ หรือใต้บันได ก็สามารถสั่งทำให้เข้าพอดีเป๊ะๆ ได้ ต่างจากตู้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อาจมีช่องว่างด้านบนหรือด้านข้างให้ฝุ่นเกาะเปล่าๆ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความสูงของตู้จนจรดเพดาน เพื่อใช้เก็บของที่ไม่ใช้บ่อย เช่น ผ้าห่ม กระเป๋าเดินทาง หรือเสื้อผ้านอกฤดูกาล แบบไม่ต้องเสียพื้นที่แม้แต่นิ้วเดียว ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มมากสำหรับใครที่อยากใช้ทุกตารางเมตรในห้องให้มีประโยชน์ที่สุด


2. ดีไซน์เข้ากับห้องได้อย่างลงตัว

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินสามารถออกแบบให้เข้ากับสไตล์ของห้องได้ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นมินิมอล ลักชัวรี่ สแกนดิเนเวียน หรือโมเดิร์น เพราะเราสามารถเลือกวัสดุ สี และลวดลายได้เองทั้งหมด อยากให้ดูเรียบง่ายด้วยสีขาวล้วน หรือเพิ่มลูกเล่นด้วยไม้ลายธรรมชาติก็ทำได้หมด ทำให้ภาพรวมของห้องดูสวยกลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกัน ยิ่งถ้าใครทำห้องนอนแบบโทนเดียวกันทั้งห้อง การมีตู้บิ้วอินที่เข้าชุดกับเตียง โต๊ะข้างเตียง หรือชั้นเก็บของ จะช่วยให้ห้องดูมีความเป็นระเบียบแบบมืออาชีพ และมีสไตล์ที่ไม่หลุดธีม


3. ออกแบบฟังก์ชันได้ตามไลฟ์สไตล์

หนึ่งในสิ่งที่หลายคนหลงรักเกี่ยวกับตู้บิ้วอินก็คือ “การปรับแต่งภายในได้ตามใจเรา” เช่น ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนชอบเสื้อผ้าแบบแขวนมากกว่าพับ ก็สามารถดีไซน์ให้มีราวแขวนหลายชั้น แยกเสื้อเชิ้ต สูท และชุดเดรสให้ชัดเจน หรือถ้าเป็นคนที่มีเครื่องประดับเยอะ ก็เพิ่มลิ้นชักเล็กๆ สำหรับเก็บนาฬิกา แว่นตา และเครื่องประดับให้เป็นสัดส่วนได้เลย นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกความสูงของชั้นวาง รองเท้า หรือกล่องเก็บผ้าขนหนู ให้ตรงกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ทั้งหมด ถือว่าเป็นตู้ที่ออกแบบมาสำหรับคุณโดยเฉพาะจริงๆ


4. ลดความรก เพิ่มความเรียบร้อย

ถ้าห้องนอนของเพื่อนๆ มีปัญหาของวางเกลื่อน ตู้เปิดแล้วของหล่น หรือหาที่เก็บรองเท้าไม่เจอ ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินจะช่วยเปลี่ยนภาพเหล่านั้นไปเลยครับ เพราะสามารถออกแบบให้เก็บของทุกประเภทได้อย่างเป็นระบบ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ผ้าปูที่นอน กระเป๋า หรือแม้แต่กล่องเอกสารบางอย่างที่อยากเก็บให้พ้นสายตา ทุกอย่างสามารถจัดเก็บหลังบานตู้ที่เรียบสนิท ทำให้ห้องดูสะอาด โล่ง สบายตา เหมือนอยู่ในห้องตัวอย่างโครงการใหม่ตลอดเวลา และเมื่อไม่มีของวางเกะกะ ก็ทำความสะอาดง่ายขึ้นด้วย


5. เพิ่มมูลค่าให้บ้านหรือคอนโด

อีกหนึ่งข้อดีที่หลายคนมองข้ามไปคือตู้เสื้อผ้าบิ้วอินสามารถเพิ่มมูลค่าให้บ้านหรือคอนโดได้ในอนาคต เพราะบ่งบอกว่าพื้นที่นั้นถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการตกแต่งที่ดี เหมือนบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบเซ็ตพร้อมเข้าอยู่ โดยเฉพาะถ้าใช้วัสดุดี งานเนียบ และดีไซน์สวย เมื่อถึงเวลาขายหรือปล่อยเช่า ก็ทำให้ดูน่าสนใจและมีมูลค่ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นการลงทุนที่ใช้งานได้จริงในวันนี้ และยังส่งผลดีต่อมูลค่าอสังหาฯ ในระยะยาวอีกด้วย

บทความน่าสนใจ :

10 ไอเดีย ห้องครัวบิ้วอินสไตล์มินิมอล สวยๆ


6 ข้อควรรู้ก่อนมี ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน ในห้องนอน

1. ขนาดพื้นที่ต้องชัดเจนก่อนจะมี ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน

ก่อนทำตู้บิ้วอิน อย่าเพิ่งเลือกลายหรือวัสดุจนกว่าจะวัดขนาดพื้นที่ได้เป๊ะๆ ไม่ใช่แค่กว้าง ยาว สูง แต่รวมถึงการเผื่อระยะเปิดปิดประตู และพื้นที่รอบๆ ที่จะเดินผ่านได้สะดวก เพราะถ้าพื้นที่แคบเกินไป ตู้จะกลายเป็นสิ่งที่เกะกะมากกว่าช่วยให้ห้องเป็นระเบียบ เช่น ถ้าทำตู้แบบเปิดบานใหญ่ในห้องแคบ อาจชนเตียงหรือโต๊ะอื่นๆ ได้ง่าย ฉะนั้นควรวัดและลองวางแปลนคร่าวๆ ดูก่อนว่า พอทำแล้ว ยังเหลือพื้นที่ใช้ชีวิตสบายๆ ไหม


2. เลือกฟังก์ชันให้ตรงกับการใช้งานจริง

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินสามารถออกแบบภายในได้หลากหลายมาก ทั้งราวแขวน เสื้อผ้าพับ ลิ้นชัก ชั้นวางรองเท้า หรือแม้แต่ช่องเก็บเครื่องประดับ ซึ่งเพื่อนๆ ควรวิเคราะห์ตัวเองก่อนว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ใช้คือแบบไหน เช่น ถ้าเป็นสายชอบใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ก็ควรมีลิ้นชักเยอะหน่อย แต่ถ้าเป็นคนมีชุดทำงานเยอะ แบบเสื้อเชิ้ต สูท เดรส ก็ควรเน้นราวแขวนมากขึ้น เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกและเป็นระบบตั้งแต่วันแรก


3. เลือกวัสดุให้เหมาะกับการใช้งาน

วัสดุของตู้มีหลายประเภท เช่น ไม้จริง ไม้ MDF ไม้ปิดผิวเมลามีน หรือไฮกลอส แต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน เช่น ถ้าอยากได้ลุคเรียบหรู ดูทันสมัย อาจเลือกใช้ไฮกลอสเงาๆ แต่ถ้าอยากได้ความอบอุ่น เรียบง่ายและดูธรรมชาติ ก็เลือกไม้ลายธรรมชาติผิวด้าน การเลือกวัสดุที่เหมาะสมยังช่วยเรื่องความทนทาน เช่น ในพื้นที่ชื้นหรือใกล้ห้องน้ำ ควรใช้วัสดุที่ไม่บวมน้ำง่าย หรือเคลือบกันชื้นไว้ด้วย


4. กำหนดงบประมาณให้ชัดตั้งแต่ต้น

ตู้บิ้วอินมีราคาหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัสดุ ขนาด และดีไซน์ ยิ่งซับซ้อนหรือเลือกวัสดุพรีเมียม ราคาก็ยิ่งสูง ดังนั้นควรกำหนดงบประมาณไว้คร่าวๆ แล้วแจ้งช่างตั้งแต่ต้น เพื่อให้เขาออกแบบมาให้เหมาะกับงบของเรา และจะได้ไม่บานปลายระหว่างทาง หรือเกิดปัญหาแบบ “งบหมดแต่ยังไม่เสร็จ” เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องเคลียร์กันตั้งแต่เริ่มต้นครับ


5. เผื่อพื้นที่เก็บของในอนาคต

อย่าลืมว่าเสื้อผ้าของเราจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกของตามฤดูกาล หรือกระเป๋า รองเท้า ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง ซึ่งอาจไม่ได้ใช้ทุกวัน แต่ก็ต้องการที่เก็บ ถ้าออกแบบตู้พอดีเป๊ะกับของที่มีตอนนี้ พอของเพิ่มขึ้นจะล้นตู้และทำให้ห้องดูรก ฉะนั้นควรเผื่อช่องเก็บของด้านบนหรือพื้นที่สำรองเล็กๆ ไว้ด้วย เพื่อรองรับอนาคตแบบสบายใจ


6. เลือกช่างหรือบริษัทที่ไว้ใจได้ในการทำ ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน

สุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้ดีไซน์ก็คือ “ช่าง” เพราะถึงแบบจะสวยแค่ไหน ถ้างานออกมาไม่เนี๊ยบ ก็ทำให้เฟอร์นิเจอร์ทั้งชุดดูด้อยลงทันที ควรเลือกช่างที่มีผลงานจริงให้ดู รีวิวดี และมีการทำสัญญาชัดเจน รวมถึงเข้าใจสไตล์ที่เราต้องการด้วย จะได้ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินที่ออกมาสวยเป๊ะ และไม่มีปัญหาตามมาทีหลังครับ

บทความน่าสนใจ :

10 ไอเดีย ผนังทีวีบิ้วอิน สไตล์มินิมอล


6 ข้อควรรู้ ในการเลือกผู้รับเหมาะมาทำ ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน

1. ดูผลงานที่ผ่านมาให้ชัด

ก่อนตัดสินใจเลือกใครมาทำบิ้วอิน ควรขอดู “ผลงานจริง” ที่เคยทำไว้ โดยเฉพาะงานตู้เสื้อผ้า ไม่ใช่แค่ภาพใน Pinterest หรือจากอินเทอร์เน็ตที่อ้างว่าเคยทำ แต่ไม่ใช่ผลงานของตัวเอง เพราะเราจะได้ดูว่าแนวการดีไซน์ของเขาตรงกับสไตล์ที่เราชอบไหม เช่น ชอบงานมินิมอล งานไม้ลายธรรมชาติ งานโทนขาวสะอาด หรือแบบฟังก์ชันเยอะๆ ถ้าดูแล้วชอบงานเก่าของเขา ก็มีแนวโน้มสูงว่างานของเราจะออกมาถูกใจครับ


2. เช็กรีวิวจากลูกค้าเก่าในการทำ ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน

รีวิวจากลูกค้าเก่าคืออีกหนึ่งตัวช่วยตัดสินใจชั้นเยี่ยม เพราะจะได้รู้ว่าช่างคนนี้ทำงานตรงเวลาไหม สื่อสารเข้าใจง่ายหรือเปล่า และงานจบแล้วมีปัญหาหรือไม่ ถ้าเจอรีวิวบ่นเรื่องงานช้า ส่งของไม่ครบ หรือใช้ของไม่ตรงสเปก แบบนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ หรือถ้าคนรู้จักเคยใช้ช่างเจ้านี้มาก่อน ลองสอบถามตรงๆ ได้เลยว่า “แนะนำจริงไหม?” จะได้ความเห็นแบบไม่อวย และตัดสินใจได้แม่นขึ้น


3. พูดคุยก่อนจ้างจริง

ลองนัดพูดคุยเบื้องต้นก่อนจ้าง เพื่อดูว่าเขาเข้าใจสิ่งที่เราต้องการไหม เช่น เราอยากได้ตู้สูงเต็มผนัง มีราวแขวนเยอะ และเน้นเก็บของเยอะๆ ถ้าช่างฟังแล้วเข้าใจ พร้อมแนะนำสิ่งที่เหมาะสมให้เรา เช่น แนะนำฟังก์ชันที่ใช้จริง แนะนำวัสดุที่คุ้มค่า แบบนี้ถือว่าโอเค แต่ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง หรือดูรีบๆ เร่งให้จบ ถือเป็นสัญญาณที่ควรพิจารณาให้ดีครับ


4. ขอสเปกวัสดุและใบเสนอราคาชัดเจน

อย่าลืมให้ช่างแจ้งรายละเอียดวัสดุที่ใช้ เช่น ใช้ไม้ MDF หรือไม้อัด ใช้ปิดผิวแบบลามิเนต เมลามีน หรือไฮกลอส เพราะวัสดุแต่ละแบบมีคุณภาพต่างกัน และส่งผลกับความทนทานในระยะยาว นอกจากนี้ควรขอใบเสนอราคาที่แจกแจงเป็นรายการย่อย เช่น ค่าวัสดุ ค่าแรง ค่าขนส่ง ฯลฯ เพื่อเปรียบเทียบราคากับเจ้าอื่นได้ และป้องกันการโดนคิดเพิ่มทีหลังแบบไม่คาดคิด


5. ทำสัญญาก่อนเริ่มงาน

ถึงแม้จะจ้างช่างที่ดูน่าไว้ใจแค่ไหน แต่ก็ไม่ควรข้ามเรื่องเอกสารครับ สัญญางานบิ้วอินควรมีรายละเอียดระยะเวลาเริ่ม-จบงาน รายการวัสดุที่ใช้ งวดการชำระเงิน และเงื่อนไขกรณีที่งานล่าช้า หรือของไม่ตรงสเปก เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย และสามารถอ้างอิงได้หากมีปัญหาเกิดขึ้นภายหลัง


6. อย่าลืมตรวจสอบงานระหว่างทำ

เมื่อเริ่มติดตั้ง ควรแวะมาตรวจดูหน้างานบ้าง โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้าง ความเรียบร้อย การเจาะ การวางฟังก์ชันภายในว่าตรงตามแบบไหม เพราะบางอย่างถ้าแก้หลังติดตั้งแล้วจะยุ่งยาก เช่น บานเปิดไม่พอดี หรือช่องเก็บของไม่ใช่ขนาดที่ต้องการ การตรวจสอบงานระหว่างทางจะช่วยให้ทุกอย่างจบสวย และไม่ต้องมาแก้งานทีหลังให้เสียเวลา


สรุปบทความ 10 ไอเดีย ตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สไตล์มินิมอล

ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินสไตล์มินิมอลไม่ได้เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่ไว้เก็บของเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสะท้อนรสนิยมของเจ้าของบ้านได้อย่างมีเอกลักษณ์ การเลือกออกแบบตู้ในแนวมินิมอล ไม่ได้หมายถึงความเรียบง่ายจนดูจืดชืด แต่เป็นการจัดวางรายละเอียดเล็กๆ ให้ลงตัว มีเส้นสายที่สะอาดตา ใช้โทนสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เช่น ขาว ครีม น้ำตาลอ่อน หรือลายไม้ธรรมชาติ ที่ช่วยให้บรรยากาศในห้องนอนดูโปร่งโล่ง ผ่อนคลาย และรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่ในสปาหรือคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น นอกจากนี้ การเลือกบิ้วอินยังเป็นการใช้พื้นที่แนวตั้งได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นห้องขนาดเล็กที่ต้องการประหยัดพื้นที่ หรือต้องการเพิ่มช่องเก็บของให้เป็นระเบียบ ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินก็สามารถปรับดีไซน์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ได้แบบเฉพาะตัว

และเมื่อผสมผสานกับดีเทลเล็กๆ เช่น มือจับแบบซ่อน แสงไฟซ่อนในตู้ หรือกระจกบานเลื่อน ก็ยิ่งช่วยยกระดับความมินิมอลให้ดูทันสมัยมากขึ้น การมีตู้เสื้อผ้าแบบบิ้วอินจึงไม่ได้ให้แค่ความเรียบร้อยและความจุในการเก็บของเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศให้ห้องนอนดูน่าอยู่ขึ้นอีกหลายเท่าตัว บทความนี้จึงไม่ได้แค่รวมไอเดียสวยๆ แต่ยังอยากชวนให้เพื่อนๆ ลองกลับมามองพื้นที่ห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง ว่าถ้าได้เติมเต็มด้วยตู้เสื้อผ้าบิ้วอินสไตล์มินิมอลสักใบ จะเปลี่ยนมุมธรรมดาๆ ให้กลายเป็นมุมที่ลงตัวและมีความสุขได้ขนาดไหน หวังว่าไอเดียทั้งหมดนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้การออกแบบห้องนอนของเพื่อนๆ สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นครับ 🌿🛏️