6 วัสดุปูพื้นห้องนอน เลือกแบบไหนให้เหมาะสม และบอกข้อดีและข้อเสีย

เมื่อพูดถึงการตกแต่งห้องนอน หนึ่งในสิ่งที่มีผลต่อความสวยงามและฟังก์ชันการใช้งานมากที่สุดคือพื้นบ้าน ซึ่งมีวัสดุปูพื้นหลากหลายประเภทที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ SPS HOME DESIGN จะพาคุณไปสำรวจ 6 วัสดุปูพื้นยอดนิยมที่ได้รับความนิยมในวงการตกแต่งบ้าน พร้อมทำความรู้จักกับลักษณะและข้อดีของแต่ละประเภท เพื่อให้คุณสามารถเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับสไตล์การใช้ชีวิตและความต้องการของคุณได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นพื้นไม้จริงที่ให้ความอบอุ่นหรือกระเบื้องเซรามิกที่ง่ายต่อการดูแลรักษา เรามีคำตอบที่คุณต้องการ และเปิดเผยความลับในการเลือกวัสดุปูพื้นที่จะทำให้บ้านของคุณสวยงามและมีสไตล์ในแบบที่คุณฝันไว้


รวม 6 วัสดุปูพื้นยอดนิยม แต่ละแบบมีลักษณะ และข้อดีแตกต่างกันอย่างไร ?

1.พื้นไม้จริง

พื้นไม้จริงมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้ดูหรูหราและเป็นธรรมชาติ มีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละแผ่น เพราะเกิดจากไม้ธรรมชาติที่ผ่านกระบวนการตัดและขัดเงา พื้นผิวจึงมีสัมผัสที่อุ่นและเนียนเรียบเมื่อเดินเท้า พื้นไม้จริงยังมีความทนทานสูง อายุการใช้งานยาวนาน และสามารถขัดลอกหน้าเพื่อทำสีใหม่ได้เมื่อต้องการ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยปรับอุณหภูมิของบ้านให้สบายอีกด้วย

l ข้อดีของพื้นไม้จริง

  1. ความสวยงามตามธรรมชาติ: พื้นไม้จริงมีลวดลายและสีสันเฉพาะตัวจากเนื้อไม้ ซึ่งให้ความหรูหราและอบอุ่น ทำให้บ้านดูมีเอกลักษณ์
  2. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เพราะเป็นวัสดุจากธรรมชาติ สามารถรีไซเคิลได้ และไม่ปล่อยสารเคมี
  3. ปรับสภาพอุณหภูมิ: พื้นไม้จริงช่วยรักษาอุณหภูมิในห้องให้สบาย ไม่ทำให้ร้อนหรือเย็นเกินไป

l สถานที่ที่เหมาะกับการใช้พื้นไม้จริง

  1. ห้องนั่งเล่นและห้องนอน: เพราะเป็นห้องที่ต้องการความอบอุ่นและบรรยากาศที่ผ่อนคลาย พื้นไม้จริงสามารถเสริมบรรยากาศที่สบายและสงบให้กับพื้นที่เหล่านี้ได้ดี
  2. ห้องทำงานหรือห้องหนังสือ: เนื้อไม้ช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบและเน้นความหรูหรา เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการความเงียบและโฟกัส

l สถานที่ที่ไม่ควรใช้พื้นไม้จริง

  1. ห้องน้ำ: เนื่องจากพื้นไม้จริงอาจเสียหายได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับความชื้นหรือน้ำเป็นเวลานาน อาจทำให้บวมหรือเสียรูปทรง
  2. ห้องครัว: ครัวเป็นพื้นที่ที่มีการสัมผัสน้ำและความชื้นสูง นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่น้ำมันหรือของเหลวอื่นๆ จะกระเด็นลงบนพื้น อาจทำให้ไม้เสียหายหรือคราบสกปรกติดถาวร
  3. บริเวณภายนอก: พื้นไม้จริงไม่เหมาะกับพื้นที่ภายนอกที่โดนแดดและฝนโดยตรง เพราะสภาพอากาศจะทำให้ไม้เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

2.พื้นกระเบื้องยาง SPC

พื้นกระเบื้องยาง SPC (Stone Plastic Composite) เป็นวัสดุที่ทำจากผงหินและพลาสติก ทำให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อการขีดข่วน และกันน้ำได้ดี เหมาะสำหรับใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ที่ต้องการความทนทานและการดูแลรักษาง่าย พื้น SPC ยังติดตั้งง่ายและมีลวดลายที่หลากหลายเหมือนไม้หรือหินธรรมชาติ แต่มีน้ำหนักเบากว่าและราคาย่อมเยากว่าพื้นไม้จริง

l ข้อดีของพื้นกระเบื้องยาง SPC

  1. ความทนทานสูง: พื้น SPC ทนต่อการขีดข่วนและการสึกหรอได้ดี เหมาะกับพื้นที่ที่มีการใช้งานบ่อยและหนัก
  2. กันน้ำและความชื้น: เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำและห้องครัว เพราะไม่บวมเมื่อโดนน้ำ
  3. ติดตั้งง่าย: มีระบบคลิกล็อค ทำให้การติดตั้งสะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องใช้กาว

สถานที่ที่เหมาะกับการใช้พื้นกระเบื้องยาง SPC

  1. ห้องน้ำ: พื้น SPC กันน้ำและไม่ดูดซับความชื้น ซึ่งเหมาะสำหรับห้องน้ำที่มีการใช้งานน้ำมาก ช่วยลดปัญหาการเกิดเชื้อราและบวมของพื้นได้
  2. ห้องครัว: พื้น SPC ทนต่อการหกของน้ำและคราบอาหารได้ดี ทำให้ทำความสะอาดง่ายและไม่เกิดความเสียหายจากความชื้น ช่วยให้ห้องครัวดูสะอาดและเรียบร้อยอยู่เสมอ
  3. พื้นที่สาธารณะ: พื้น SPC มีความทนทานสูงต่อการขีดข่วนและการสึกหรอ จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการใช้งานมาก เช่น ร้านค้า โรงเรียน หรือสำนักงาน

l สถานที่ที่ไม่ควรใช้ กระเบื้องยาง SPC

  1. ห้องที่ต้องการความหรูหรา: เนื่องจากพื้น SPC จะโดดเด่นในสไตล์มินิมอลที่เน้นความเรียบง่ายเเละธรรมชาติ
  2. พื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงมาก: การใช้พื้น SPC ในพื้นที่ที่มีความร้อนสูง เช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้ความร้อนสูง อาจทำให้พื้นเกิดการบิดงอหรือเสียหายได้
  3. ห้องนอน: ในห้องนอนที่ต้องการบรรยากาศอบอุ่นและนุ่มนวล อาจไม่เหมาะสมกับพื้น SPC ซึ่งมีความแข็งและไม่ให้ความรู้สึกนุ่มเมื่อเดินเปล่าเท้า

บทความน่าสนใจ :

10 ไอเดียแต่งห้องนอน น่ารัก มินิมอล สไตล์เกาหลีเกาใจ!


3.พื้นกระเบื้องเซรามิก

พื้นกระเบื้องเซรามิกเป็นวัสดุที่ทำจากดินเหนียวและผ่านกระบวนการเผา ทำให้มีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถกันน้ำได้ดี จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการความทนทานต่อความชื้นและการขีดข่วน เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ภายนอกบ้าน นอกจากนี้ยังมีลวดลายและสีสันให้เลือกมากมาย แต่ข้อเสียคืออาจจะลื่นเมื่อน้ำขังและให้ความรู้สึกเย็นเมื่อเดินบนพื้นโดยไม่สวมรองเท้า

l ข้อดีของพื้นกระเบื้องเซรามิก

  1. ความทนทาน: พื้นกระเบื้องเซรามิกมีความแข็งแรง ทนทานต่อการขีดข่วนและแรงกดทับ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวสูง
  2. การดูแลรักษาง่าย: พื้นเซรามิกมีผิวที่เรียบและไม่ดูดซับน้ำ ทำให้ทำความสะอาดได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้สารเคมีที่แรง
  3. หลากหลายดีไซน์: มีลวดลายและสีสันให้เลือกมากมาย ทำให้สามารถตกแต่งได้หลากหลายสไตล์

l สถานที่ที่เหมาะกับการใช้พื้นกระเบื้องเซรามิก

  1. ห้องครัว: พื้นเซรามิกทนทานต่อการรั่วไหลของน้ำและสารอาหาร ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับห้องครัว
  2. ห้องน้ำ: พื้นเซรามิกกันน้ำได้ดี และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในห้องน้ำ
  3. พื้นที่เชิงพาณิชย์: ร้านอาหารหรือสำนักงานที่ต้องการพื้นที่ดูดีและง่ายต่อการทำความสะอาด

l สถานที่ที่ไม่ควรใช้พื้นกระเบื้องเซรามิก

  1. พื้นที่ที่มีความเย็นจัด: พื้นกระเบื้องเซรามิกมีความเย็น ทำให้ไม่เหมาะกับห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นในเขตที่มีอากาศหนาวเย็นมาก เพราะอาจทำให้รู้สึกไม่สบายเมื่อเดินเท้าเปล่า
  2. ห้องที่มีการเคลื่อนไหวมาก: สถานที่ที่มีการเคลื่อนย้ายบ่อย เช่น โรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรหนัก อาจไม่เหมาะสม เนื่องจากพื้นอาจเสียหายจากแรงกดทับ
  3. พื้นที่ที่มีโอกาสเกิดการลื่น: หากพื้นกระเบื้องเซรามิกมีความเปียกหรือมีน้ำอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้

 
 

4.พื้นหินอ่อน

พื้นหินอ่อนมีลักษณะเด่นคือความหรูหราและสวยงามตามธรรมชาติ เนื้อผิวของหินอ่อนมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และมักจะสะท้อนแสง ทำให้ห้องดูกว้างและสว่างมากขึ้น นอกจากนี้หินอ่อนยังให้ความรู้สึกเย็นสบาย เหมาะสำหรับบ้านในสภาพอากาศร้อน อย่างไรก็ตาม หินอ่อนเป็นวัสดุที่ค่อนข้างเปราะบางต่อการขูดขีดและเปื้อนง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานในพื้นที่ที่มีการใช้งานหนักหรือพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดคราบ เช่น ห้องครัว

l ข้อดีของพื้นหินอ่อน

  1. ความสวยงามและหรูหรา: พื้นหินอ่อนมีลวดลายและสีที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มความงดงามและหรูหราให้กับพื้นที่ ทำให้เหมาะกับการตกแต่งที่ต้องการความสง่างาม
  2. ความทนทาน: หินอ่อนมีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานในระยะยาว สามารถทนต่อแรงกดและการขีดข่วนได้ดี
  3. ไม่เก็บฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้: พื้นหินอ่อนมีพื้นผิวเรียบ ทำให้ไม่สะสมฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้

l สถานที่ที่เหมาะกับการใช้พื้นหินอ่อน

  1. ห้องนั่งเล่น: พื้นหินอ่อนสามารถเพิ่มความหรูหราและความทันสมัยให้กับห้องนั่งเล่น ช่วยสร้างบรรยากาศที่สง่างาม
  2. ห้องอาหารหรือห้องครัว: สามารถใช้พื้นหินอ่อนเพื่อความสะดวกในการทำความสะอาดและความสวยงาม
  3. ห้องประชุมหรือสำนักงาน: พื้นหินอ่อนช่วยสร้างบรรยากาศที่น่าเชื่อถือและเป็นทางการ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสำนักงานหรือห้องประชุม

l สถานที่ที่ไม่ควรใช้พื้นหินอ่อน

  1. พื้นที่ที่มีการเปียกชื้น: เช่น ห้องน้ำหรือห้องครัวที่มีโอกาสเกิดน้ำล้น หรือความชื้นสูง เนื่องจากพื้นหินอ่อนสามารถลื่นเมื่อเปียก
  2. พื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวหนัก: เช่น โรงงานหรือโรงรถที่มีการเคลื่อนย้ายหนัก อาจทำให้พื้นหินอ่อนเสียหายจากการกดทับ
  3. พื้นที่กลางแจ้ง: การใช้งานภายนอกอาจทำให้หินอ่อนเกิดการสึกกร่อนจากสภาพอากาศและสารเคมีในสิ่งแวดล้อม

5.พื้นหินแกรนิต

พื้นหินแกรนิตมีความแข็งแรงและทนทานสูง ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการความคงทน เช่น พื้นทางเดินหรือห้องครัว หินแกรนิตมีลวดลายธรรมชาติที่สวยงาม และทนทานต่อการขูดขีด การกระแทก และทนต่อคราบสกปรกได้ดี นอกจากนี้ ยังดูแลรักษาง่ายเมื่อเทียบกับหินธรรมชาติชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม หินแกรนิตอาจจะมีน้ำหนักมาก จึงต้องมีการติดตั้งที่เหมาะสมเพื่อรองรับน้ำหนัก และอาจไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความนุ่มนวลในการตกแต่ง เช่น ห้องนั่งเล่น

l ข้อดีของพื้นหินแกรนิต

  1. ความทนทาน: พื้นหินแกรนิตมีความแข็งแรงและทนทานต่อการขีดข่วน รวมถึงแรงกดทับ ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
  2. การดูแลรักษา: พื้นหินแกรนิตสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่สะสมฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ ทำให้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความสะอาด
  3. ทนความร้อน: หินแกรนิตมีคุณสมบัติทนความร้อนดี ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีความร้อนสูง

l สถานที่ที่เหมาะกับการใช้พื้นหินแกรนิต

  1. ห้องนั่งเล่น: พื้นหินแกรนิตช่วยสร้างบรรยากาศที่หรูหราและสง่างาม เพิ่มความสวยงามให้กับห้องนั่งเล่น
  2. ห้องครัว: มีความทนทานต่อความร้อนและทำความสะอาดง่าย ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในห้องครัว
  3. ห้องอาหาร: สามารถเพิ่มความสง่างามให้กับพื้นที่รับประทานอาหาร

l สถานที่ที่ไม่ควรใช้พื้นหินแกรนิต

  1. พื้นที่ที่มีการเปียกชื้นมาก: เช่น ห้องน้ำหรือบริเวณที่มีน้ำขัง เพราะอาจทำให้พื้นลื่นและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  2. พื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวหนัก: เช่น โรงงานหรือโกดังที่มีการขนส่งหนัก อาจทำให้พื้นหินแกรนิตเกิดการแตกร้าว
  3. พื้นที่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิผันผวน: การใช้งานภายนอกอาจทำให้หินแกรนิตเกิดการเสียหายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย

6.พื้นกระเบื้องพอร์ซเลน

พื้นกระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain Tiles) มีลักษณะเรียบและมันวาว พร้อมลวดลายและสีสันหลากหลาย เช่น ลวดลายเลียนแบบหินและไม้ โดยมีความหนาแน่นและแข็งแรงสูง ทนทานต่อการใช้งาน มีขนาดต่างๆ และสามารถจัดเรียงได้หลายรูปแบบ ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานในหลายบริบท ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

l ของพื้นกระเบื้องพอร์ซเลน

  1. ความทนทาน: พื้นกระเบื้องพอชเลนมีความทนทานสูง สามารถรับน้ำหนักได้มากและมีความแข็งแรงต่อการขูดขีด จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการเดินผ่านบ่อยๆ
  2. กันน้ำ: กระเบื้องพอชเลนมีคุณสมบัติกันน้ำและไม่ดูดซึมน้ำ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในห้องน้ำหรือครัว
  3. บำรุงรักษาง่าย: ทำความสะอาดง่าย เนื่องจากพื้นผิวเรียบและมันวาว ไม่สะสมฝุ่นและสิ่งสกปรก
  4. ความหลากหลายของดีไซน์: มีให้เลือกหลายลวดลายและสี ทำให้สามารถเลือกใช้ให้เข้ากับการตกแต่งที่ต้องการได้ง่าย

l สถานที่ที่เหมาะกับการใช้พื้นกระเบื้องพอร์ซเลน

  1. ห้องน้ำ: เนื่องจากมีคุณสมบัติกันน้ำและทำความสะอาดง่าย
  2. ครัว: ทนต่อความชื้นและง่ายต่อการดูแลรักษา
  3. พื้นที่ภายนอก: เช่น ลานบ้านหรือระเบียง เนื่องจากความทนทานต่อสภาพอากาศและการขูดขีด
  4. ห้องนั่งเล่น: เพื่อเพิ่มความสวยงามและความทนทานในพื้นที่ที่มีการใช้งานบ่อย

l สถานที่ที่ไม่ควรใช้พื้นกระเบื้องพอร์ซเลน

  1. ห้องนอน: แม้ว่ากระเบื้องพอชเลนจะมีความแข็งแรง แต่พื้นกระเบื้องอาจทำให้รู้สึกเย็นและแข็ง ไม่เหมาะสำหรับห้องนอนที่ต้องการบรรยากาศอบอุ่นและสบาย
  2. พื้นที่ที่มีความร้อนสูง: เช่น สวนหรือพื้นที่กลางแจ้งที่ได้รับแสงแดดจัดเป็นเวลานาน เนื่องจากความร้อนอาจทำให้กระเบื้องร้อนและไม่สบายในการเดิน
  3. พื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวมาก: เช่น โรงงานหรือคลังสินค้า ที่มีการใช้งานหนัก เพราะแม้ว่ากระเบื้องพอชเลนจะแข็งแรง แต่หากถูกโหลดหนักติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อพื้นได้

สรุปบทความ รวม 6 วัสดุปูพื้นยอดนิยม แต่ละแบบมีลักษณะ และข้อดีแตกต่างกันอย่างไร ?

สรุปได้ว่า การเลือกวัสดุปูพื้นแต่ละประเภทนั้นไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความสวยงาม แต่ยังขึ้นอยู่กับการใช้งานและความเหมาะสมกับสถานที่ด้วย วัสดุปูพื้นยอดนิยม 5 ประเภทที่กล่าวถึงมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกันออกไป เช่น พื้นไม้จริงที่ให้ความเป็นธรรมชาติและความอบอุ่น เหมาะสำหรับพื้นที่ภายในบ้าน แต่ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีความชื้นสูง หรือพื้น SPC ที่ทนต่อความชื้นและง่ายต่อการดูแลรักษา จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความทนทาน เช่น ห้องน้ำหรือห้องครัว ส่วนพื้นกระเบื้องเซรามิกเหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความสะอาดง่าย แต่ไม่เหมาะกับห้องที่มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิบ่อย เช่นเดียวกับพื้นหินอ่อนและหินแกรนิตที่เพิ่มความหรูหราให้กับบ้าน แต่มีข้อจำกัดในการใช้งานเช่นกัน ดังนั้น การเลือกวัสดุปูพื้นที่ถูกต้องตามลักษณะการใช้งานจะช่วยให้บ้านของคุณมีทั้งความสวยงามและฟังก์ชันที่ลงตัวในระยะยาว